Page 5 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 45 วันที่ 18 - 24 กุมภาพันธ์ 2562
P. 5

ข่าวรามคำาแหง                                                              ๕
            วันที่ ๑๘ - ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
           เศรษฐศาสตร์ 101






           คณะเศรษฐศาสตร์                          รศ.อสัมภินพงศ์ ฉัตราคม
           ตอน                 ใครก�ำหนด                                        คณะมนุษยศาสตร์                               อาจารย์ตูซาร์ นวย





                  เรื่องแรก ๆ ที่คนเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ซึ่งไม่จ�าเป็นต้องเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์  การซื้อของที่ตลาด (1)
           เสมอไป (คนเรียนบริหารธุรกิจหรือเรียนรัฐศาสตร์บางสาขาก็มีการก�าหนดให้เศรษฐศาสตร์     ในภาษาเมียนมา “ตลาด” พูดว่า    [เซ้] และอีกความหมาย
           เป็นวิชาบังคับเหมือนกัน) จะต้องพยายามท�าความเข้าใจก็คือ เรื่องของอุปสงค์ อุปทาน  ของค�านี้คือ “ราคา” ก็ด้วย ประโยคสนทนาตัวอย่างในการซื้อผักสวนครัว
           และการก�าหนดราคาตลาด ที่ว่าต้องพยายามท�าความเข้าใจก็เพราะเมื่ออ่านต�าราแล้ว  ที่ตลาด เป็นภาษาเมียนมามีดังนี้
           มักจะพิศวงงงงวย ว่าอะไรมันก�าหนดอะไรกันแน่ (ที่จริงจะเขียน “งง” เฉย ๆ ก็คงไม่ผิด     ตัวอย่างบทสนทนา
           กติกา แต่ผมอยากพิมพ์ตัว ง งู เยอะ ๆ เล่นเท่านั้นเอง) อ้อ..เรื่องแบบนี้เกิดกับนักศึกษา   :
           ประเภทชอบคิดมากเป็นหลักเท่านั้นนะครับ เพราะถ้าเอาแค่ท่องจ�าไปสอบให้ผ่านก็คง  [เซ้แวตู]            [กะซู้นยแวะ ตะซี้ แบโลเย้าแล้]
           ไม่ติดใจเรื่องเหตุผลอยู่แล้ว                                         ลูกค้า              “ผักบุ้งหนึ่งก�าขายอย่างไร”
                  ประเด็นที่ท�าให้เวลาจะวิเคราะห์ด้วยเหตุผลแล้วมักจะเกิดสับสนขึ้นมาก็คือ    :
           ในตอนแรกที่ต�าราทั่วไปเขียนไว้เกี่ยวกับอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ หรือการเสนอซื้อ) และ
           อุปทาน (การเสนอขาย) จะบอกว่าทั้งอุปสงค์และอุปทานนั้นถูกก�าหนดโดยราคา เช่นในกรณี  [เซ้เย้าตู]           [กะซู้นยแวะ ตะซี้โก แซ่ง้า บะบา]
           อุปสงค์หรือการเสนอซื้อนั้นถ้าราคาสินค้าไหนแพงขึ้นก็จะท�าให้คนทั่วไปเสนอซื้อสินค้า  คนขาย             “ผักบุ้งหนึ่งก�า 15 บาท”
           นั้นลดลง และในทางตรงข้าม ถ้าราคาสินค้าไหนถูกลงก็จะชักน�าให้คนทั่วไปเสนอซื้อ    :
           สินค้านั้นมากขึ้น ส่วนในกรณีอุปทานหรือการเสนอขายนั้น ถ้าราคาสินค้าไหนแพงขึ้น  [เซ้แวตู]            [เซ้จี้ไล่ตา, ช่อบาโอ้น]
           ก็ย่อมจะจูงใจให้มีการผลิต และเสนอขายสินค้านั้นมากขึ้น แต่ถ้าสินค้าไหนราคาถูกลง  ลูกค้า              “ราคาแพงจัง, ลดหน่อยเถอะ”
           ปริมาณผลิต และเสนอขายสินค้านั้นก็จะลดลงเป็นธรรมดา ทั้ง 2 กรณีนี้เรียกกันว่า      :
           กฎของอุปสงค์ และกฎของอุปทานซึ่งไม่ว่าอาจารย์คนไหนก็จะต้องออกข้อสอบเรื่องพวกนี้  [เซ้เย้าตู]           [โต้น ซี้ แวยิน บะ เล้แซ แบ้เป้บา]
           แน่นอน และที่จริงแล้วทั้ง 2 กฎนี้ก็เป็นเรื่องของหลักเหตุผลทั่วไปที่เราคิดกันได้เองอยู่แล้ว  คนขาย             “ถ้าซื้อ 3 ก�า จ่ายมาแค่ 40 บาทเถอะ”
           อย่างไรก็ตามต้องระลึกไว้เสมอว่ากฎนี้ใช้กับคนส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงอาจมีคนส่วนน้อย
           ที่คิดนอกกรอบ หรือแหกกฎพวกนี้ไปบ้าง เรื่องแบบนี้เราไม่ว่ากัน                   :
                  ส่วนที่จะท�าให้งงนั้นเป็นเรื่องสืบเนื่องจากกฎของอุปสงค์ และกฎของอุปทาน  [เซ้แวตู]            [ดาโซ โต้น ซี้ เป้บา]
           ซึ่งเริ่มได้จากรูปกราฟที่เขียนในต�ารานั่นเอง เพราะแกนตั้งของรูปกราฟนั้น วัดราคา  ลูกค้า              “ถ้าอย่างนั้น ขอ 3 ก�า”
           ส่วนแกนนอนวัดปริมาณสินค้า ซึ่งอาจเป็นการเสนอซื้อ (อุปสงค์) หรือการเสนอขาย        :
           (อุปทาน) ก็ได้แล้วแต่กรณี เนื่องจากรูปกราฟนั้นต้องเขียนตามหลักคณิตศาสตร์ซึ่งแกนตั้ง  [เซ้เย้าตู]           [บาทะยูโอ้นมะแล้, ฮี้นตี้ฮี้นยแวะมโย้โซน ชิเต้แด]
           จะวัดตัวแปรตาม หรือตัวแปรที่ถูกก�าหนด (เรียกว่า dependent variable) ส่วนแกนนอน  คนขาย             “จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม, ยังมีผักสวนครัวอีกหลายอย่าง”
           จะวัดตัวแปรอิสระ (independent variable) หรือตัวแปรที่ก�าหนดตัวแปรตาม ตรงนี้    :
           แหละครับที่คนเก่งคณิตศาสตร์จะเริ่มงงแล้ว เพราะต�าราเขียนให้ราคาซึ่งเป็นตัวก�าหนด  [เซ้แวตู]            [ตอปยี, ดีเลาะแบ้]
           ทั้งอุปสงค์ และอุปทาน (หรือตัวแปรอิสระทางคณิตศาสตร์นั่นเอง) อยู่ที่แกนตั้ง ทั้ง ๆ
           ที่ควรอยู่แกนนอน ส่วนปริมาณอุปสงค์หรืออุปทานก็ตาม ซึ่งเป็นตัวแปรตามเพราะถูก  ลูกค้า              “พอแล้ว, แค่นี้ล่ะ”
           ก�าหนดโดยราคานั้นแทนที่จะอยู่แกนตั้งก็ถูกสลับที่ไปไว้ที่แกนนอนเสียนี่       ค�าศัพท์จากบทสนทนา
                  ข้อสงสัยเรื่องรูปกราฟนั้นผมขอยกเอาไว้ก่อน เพราะยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้อง        [กะ ซู้น ยแวะ]   ผักบุ้ง
           ท�าความเข้าใจหลังจากเขียนรูปกราฟของอุปสงค์ และอุปทานแล้ว นั่นก็คือ เรื่องการ          [เย้า]             ขาย
           ก�าหนดราคาตลาดที่เรียกว่าราคาดุลยภาพ ซึ่งหมายถึงราคาที่จะท�าให้ปริมาณเสนอ             [เซ้จี้]           ราคาแพง
           ซื้อกับปริมาณเสนอขายเท่ากันพอดี ไม่มีทั้งการเกิดสินค้าขาดแคลนไม่พอต่อความต้องการ           [ช่อ]         ท�าให้ลดลง
           และไม่มีสินค้าเหลือขาย การอธิบายด้วยรูปกราฟนั้นแปลได้ง่าย ๆ ว่าราคาตลาดนั้น           [แว]               ซื้อ
           จะถูกก�าหนดโดยอุปสงค์ และอุปทานนั่นเอง แต่เอ๊ะ...เราเพิ่งสรุปกันไปเมื่อ 2 ย่อหน้าที่แล้ว           [เป้]       ให้, จ่าย
           ไม่ใช่หรือว่า ทั้งอุปสงค์และอุปทานต่างก็ถูกก�าหนดโดยราคาแล้วตอนนี้กลับมาบอกว่า
           ราคาถูกก�าหนดโดยอุปสงค์ และอุปทานอีกแล้ว เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่...คิดมากแล้วปวดหัว         [ทะยู]      เอาเพิ่มอีก
                  ถ้าจะให้ผมตอบว่าอะไรก�าหนดอะไรกันแน่ คือราคาก�าหนดอุปสงค์-อุปทาน               [ฮี้น ตี้ ฮี้น ยแวะ]  ผักสวนครัว
           หรืออุปสงค์-อุปทานเป็นฝ่ายก�าหนดราคา ผมก็คงตอบว่าถูกทั้งคู่ เพราะมันต่างก�าหนด           [มโย้โซน]       หลายอย่าง
           ซึ่งกันและกันนั่นแหละ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าราคาผักสูงขึ้นมาก ในเมื่อราคาเป็นตัว            [ชิ]           มี, มีอยู่ด้วย
           ก�าหนดอุปทานหรือการเสนอขาย ชาวสวนผักก็จะเพิ่มการปลูกผักมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน     ในภาษาเมียนมาค�าลักษณะนามหรือหน่วยนับส�ารับประเภท
           กฎของอุปสงค์ท�าให้เมื่อผักแพง คนก็จะซื้อผักมารับประทานน้อยลง         “ก�า, มัด” เป็น     [ซี้] ยกตัวอย่าง เช่น
                  ที่ผมเพิ่งวิเคราะห์ไปนี้คือตอนที่ราคาเป็นตัวก�าหนดอุปสงค์-อุปทาน คราวนี้     1.                   [โมนญีน เซ้น 3 ซี้ โลชีนแด]
           เมื่อปริมาณเสนอขายผักมีมากในตลาดโดยที่คนบริโภคผักน้อยลงเพราะผักแพง ก็ท�าให้        “อยากได้ผักกาดเขียว 3 ก�า”
           ถ้ายังคงขายผักที่ราคาแพงนั้นจะขายไม่หมดเหลือเน่าทิ้งเสียเปล่า ๆ ชาวสวนผักจึง     2.                                           [แปเด้าเช อะซี้อะจี้ ดะ
           ต้องจ�าใจกัดฟันยอมขาดทุน (หรือลดก�าไร) ไปบ้างด้วยการลดราคาลง เห็นไหมครับนี่คือ
           การที่อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวก�าหนดราคา                                    ซี้ เป่ปา] “ขอถั่วฝักยาวมัดใหญ่ 1 มัดเถอะ”
                  นักเศรษฐศาสตร์มือสมัครเล่นที่ลองสร้างสมการอุปสงค์และสมการอุปทาน     3.                                   [แจะตูนเมะ อะซี้อะเต่
           ของสินค้าใดขึ้นมา เพื่อจะวิเคราะห์หาราคาดุลยภาพด้วยวิธีสถิติพื้นฐานเบื้องต้น มักจะ        2 ซี้ เป่ปา] “ต้นหอมมัดเล็ก 2 มัดเถอะ”
           ไปไม่รอดตั้งแต่การพยายามสร้างสมการให้มีความน่าเชื่อถือทางสถิติแล้ว แต่ที่คณะ     4.                             [ฮี้นนุ นแว กะ ดะซี้โก
           เศรษฐศาสตร์รามค�าแหงมีสอนวิธีที่จะสร้างสมการ และวิเคราะห์หาดุลยภาพของตลาด         แบเลาะแล้] “ผักขมก�าละเท่าไหร่”
           ที่น่าเชื่อถือนะครับ ใครสนใจมาลงทะเบียนเรียนได้ มีข้อแม้นิดเดียวคือต้องเรียน     5.                                       [ไกะลานอะญุ่น ง่าซี้ ยูแม]
           และสอบผ่านวิชาสถิติขั้นกลางมาแล้ว
                                                                                      “จะเอายอดคะน้า 5 ก�า”
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10