Page 5 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 28 วันที่ 22 - 28 ตุลาคม 2561
P. 5

วันที่ ๒๒ - ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๑                             ข่าวรามคำาแหง                                                              ๕


            เศรษฐศาสตร์ 101
            เศรษฐศาสตร์ 101





           คณะเศรษฐศาสตร์                          รศ.อสัมภินพงศ์ ฉัตราคม       คณะมนุษยศาสตร์                      ผศ.ดร.สรตี ปรีชาปัญญากุล

           ตอน ความมั่งคั่งของชาติ (2)


                                                                                               แป้ง  Bôt (โบต)

                  หลังจากเขียนเรื่องความมั่งคั่งของชาติจบไปแล้ว ผมมานึกขึ้นได้ถึงหนังสือ
          เรื่อง An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations        แป้ง เป็นอุปกรณ์หลักที่ส�าคัญอย่างหนึ่งส�าหรับการประกอบอาหาร
          ซึ่งผมจะแปลว่า “การวิเคราะห์ถึงธรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของชาติ”   เวียดนาม ซึ่งแป้งที่น�ามาใช้มีหลากหลายชนิด ทั้งแป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว
          หนังสือเล่มนี้เขียนโดย อดัม สมิธ ซึ่งเขาถือกันว่าเป็นเจ้าส�านักเศรษฐศาสตร์คลาสสิก  เป็นต้น ในครั้งนี้จะแนะน�าให้รู้จักแป้ง 2 ชนิด คือ
          หรือกระแสหลัก หนังสือชื่อยาวเล่มนี้นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า The Wealth of Nations          Bôt mì    (โบต หมี่)   แป้งสาลี
          ซึ่งก็แปลว่า “ความมั่งคั่งของชาติ” ตรงกับชื่อตอนนี้พอดี ที่คิดว่าจะเขียนเรื่องความ          Bôt gạo    (โบต ก่าว)   แป้งข้าวเจ้า

          มั่งคั่งของชาติแค่ตอนเดียวก็เลยต้องขอต่ออีกตอน เพราะผมอยากจะให้เห็นว่า
          โลกยุคก่อนที่จะมีการค�านวณ GDP หรือรายได้ประชาชาติกันนั้น เขาวัดความมั่งคั่ง         Bôt mì  (โบต หมี่) แป้งสาลี
          ของชาติกันอย่างไร (GDP นี้เพิ่งมีการคิดค�านวณกันขึ้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1      ท�าจากการบดข้าวสาลี แป้งสาลีเป็นแป้งประกอบอาหารที่ผลิตมากที่สุด
          หรือประมาณปลายสมัยรัชกาลที่ 6 ของเรานี่เอง และเริ่มค�านวณกันอย่างจริงจัง  มักใช้ท�าขนมปัง bánh mì (บั๊ญ หมี่) นอกจากจะใช้ท�าขนมปังแล้ว คนเวียดนาม

          ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้ว)                                   มีขนมที่ท�าจากแป้งสาลี น�าไปทอดเพื่อรับประทานเป็นอาหารว่าง คือ Bánh bột
                  แต่เดิมนั้นความมั่งคั่งของชาติเขาวัดจากปริมาณโลหะมีค่าคือทองค�าและเงิน  mì chiên (บั๊ญ โบ่ต หมี่ เจียน)
          ที่มีสะสมอยู่ในอาณาจักร ซึ่งแหล่งสะสมใหญ่ที่สุดก็คือท้องพระคลัง ลองนึกถึง
          ค�าบรรยายของฝรั่งถึงความมั่งคั่งของอาณาจักรอยุธยาที่มีทองค�าใส่ไหเรียงกันสูงจน
          ติดเพดานท้องพระคลังก็แล้วกันว่าความมั่งคั่งยุคก่อนเขาดูกันอย่างนี้จริง ๆ และ
          เนื่องจากว่าแหล่งโลหะมีค่าที่ว่านี้มีอยู่เฉพาะบางเขตเท่านั้นการจะได้มาจึงท�าโดย

          ผ่านการแลกเปลี่ยนซื้อขาย(ทางลัดด้วยการปล้นและยึดครองไม่นับ) ซึ่งทุกชนชาติ
          ยอมรับโลหะมีค่าเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนแทนเงินตรา การค้าขายก็ใช้ชั่งน�้า
          หนักทองหรือเงินจ่ายกันไปเลยไม่ต้องมาก�าหนดอัตราแลกเปลี่ยนกันให้เสียเวลา      Bánh bột mì chiên (bánh bột mì rán) là món ăn vặt dân
          หน่วยของเงินตราสมัยก่อนจึงเป็นหน่วยชั่งน�้าหนักอย่างเช่น “บาท” หรือ “เพาวด์   dã, đơn giản mà ai cũng có thể dễ dàng làm được nhưng lại rất
          (Pound)ที่เราอ่านกันว่าปอนด์” เป็นต้น                                 ngon miệng.

                  การที่คนที่มีภาษาพูดและวัฒนธรรมอย่างเดียวกันได้รวมตัวกันเป็นประเทศ     (บั๊ญ โบ่ต หมี่ เจียน บั๊ญ โบ่ต หมี่ สาน หล่า ม้อน อัน หวัต เซิน สา เดิน
          หรืออาณาจักรท�าให้เกิดแนวคิดแบบชาตินิยมคือต้องการให้ชนชาติของตนเข้มแข็ง  สาน หม่า อาย กุ๊ง ก๊อ เถ เส ส่าง หล่าม เดือก ญึง หล่าย เสิ้ต งอน เหมี่ยง)
          และมั่งคั่งเหนือกว่าชนชาติอื่น แนวคิดนี้ท�าให้เกิดความพยายามสะสมความมั่งคั่ง     ขนมแป้งสาลีทอด เป็นอาหารว่างในชนบท ธรรมดา (ไม่พิเศษอะไร) แต่
          ภายในชาติขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 เรียกกันว่าแนวคิดพาณิชย์นิยมซึ่งดู  ใครก็อาจจะท�าได้โดยง่าย และมีรสชาติอร่อย
          เหมือนผมจะเคยเขียนถึงไปแล้ว ตามแนวคิดนี้ความมั่งคั่งของชาติวัดจากปริมาณ   Bôt gạo (โบต ก่าว) แป้งข้าวเจ้า
          โลหะมีค่าที่สะสมอยู่ในชาติ และต้องหาทางเพิ่มพูนความมั่งคั่งนี้ให้มากที่สุดโดยผ่านทาง

          การได้เปรียบดุลการค้าเพราะสมัยนั้นเขาจ่ายช�าระค่าสินค้ากันด้วยโลหะมีค่า      แป้งข้าวเจ้า หรือคนไทยในสมัยโบราณเรียกว่า แป้งญวน เป็นแป้งที่
                  สาเหตุหนึ่งที่อดัม สมิธต้องเขียนหนังสือชื่อความมั่งคั่งของชาติขึ้นก็เพื่อ  ท�ามาจากข้าว เป็นแป้งที่ใช้มากที่สุดในการท�าขนมไทย ในสมัยก่อนใช้แป้งสดที่โม่
          จะโต้แย้งแนวคิดแบบพาณิชย์นิยมซึ่งท�าให้เกิดการกีดกันทางการค้าอย่างกว้างขวาง  จากข้าวสารแช่น�้าค้างคืน น�าแป้งที่ได้จากการโม่มาทับน�้าออก ก็จะได้แป้งที่พร้อม
          เนื่องจากทุกชาติต่างก็จะไม่ยอมขาดดุลการค้าด้วยกันทั้งนั้นจึงมีแต่คนที่คิดจะขาย  น�าไปท�าขนม ปัจจุบันนิยมใช้แป้งแห้งที่ผลิตจากโรงงาน เนื้อแป้งข้าวเจ้ามีลักษณะ

          ให้ชาติอื่นแต่ไม่ยอมซื้อ การกีดกันการค้าด้วยมาตรการต่าง ๆ จะท�าให้สินค้าภายใน  สากมือ เป็นผงหยาบกว่าแป้งสาลี
          แต่ละประเทศแพงขึ้นเนื่องจากสินค้าต่างประเทศที่ราคาถูกกว่าเมื่อถูกกีดกัน
          ด้วยก�าแพงภาษีหรือจ�ากัดโควตาการน�าเข้าก็จะเข้ามาได้น้อยลงและราคาแพงขึ้น
          ส่วนสินค้าที่ผลิตในประเทศพอไม่มีคู่แข่งจากภายนอกก็มีอ�านาจผูกขาดที่จะก�าหนด
          ราคาสูงขึ้นได้ ประชาชนตาด�า ๆ ที่เป็นผู้บริโภคก็จะมีแต่เสียกับเสีย แถมการส่งออก
          ที่คิดว่าจะสร้างความมั่งคั่งได้ก็จ�ากัดลงด้วยอีกเพราะเมื่อเรากีดกันสินค้าเข้าจาก     Ở Việt Nam, tinh bột gạo được sử dụng rất phổ biến từ Nam

          ชาติอื่น เขาก็คงไม่โง่พอที่ปล่อยให้เรากระท�าอยู่ฝ่ายเดียว             cho đến miền Bắc trong các món.
                  อดัม สมิธเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับความมั่งคั่งของชาติว่าควรวัดจาก      (เอ๋อ เหวียต นาม ติญ โบ่ต ก่าว เดือก สือ สุ่ง เสิ้ต โฝ เบี๊ยน ตื่อ นาม
          ประสิทธิภาพการผลิตสินค้าต่าง ๆ  โดยประสิทธิภาพนั้นหมายถึงการผลิตได้จ�านวน  จอ เด๊น เหมี่ยน บั๊ค จอง ก๊าก ม้อน)
          มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต�่าลงและใช้ทรัพยากรน้อยลงด้วย ความได้เปรียบในการค้าขาย     ที่เวียดนาม แป้งข้าวเจ้าได้รับความนิยมมาก ใช้ตั้งแต่ภาคใต้กระทั่งถึง
          เกิดจากการที่สามารถผลิตด้วยต้นทุนต�่ากว่า ดังนั้นชาติที่ประสิทธิภาพการผลิตสูง  ภาคเหนือ ในการท�าอาหารหลายประเภท

          ก็จะส่งออกได้มากและมั่งคั่งจากการค้า แต่ปัญหาที่คนสงสัยคือ อดัม สมิธ สร้าง     อาหารเวียดนามที่ใช้แป้งข้าวเจ้าเป็นส่วนประกอบ เช่น bánh cuốn
          แนวคิดนี้โดยเน้นที่ประเทศของตนคืออังกฤษเป็นหลักและอังกฤษนั้นเป็นชาติแรก  (บั๊ญ ก๊วน) ข้าวเกรียบปากหม้อ bánh xèo (บั๊ญ แส่ว) ขนมเบื้องญวน bánh
          ที่ท�าการปฏิวัติอุตสาหกรรมให้ทันสมัย แถมยังมีวัตถุดิบมาป้อนโรงงานจากอาณานิคม  đậu xanh (บั๊ญ เดิ่ว ซัญ) ถั่วเขียวกวน ตัดเป็นก้อนเหลี่ยม รสชาติหวาน ทานคู่
          ที่มีอยู่ทั่วโลกอีกด้วย แล้วชาติอื่นที่ยังไม่ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมเหมือนอังกฤษล่ะ   กับน�้าชา bánh hỏi (บั๊ญ ฮอย) เส้นหมี่ bún gạo (บุ๊น ก่าว) ขนมจีน
          จะสร้างความมั่งคั่งกันได้อย่างไร มิต้องปล่อยให้อังกฤษมั่งคั่งอยู่ชาติเดียวอย่าง     นอกจากนี้ คนเวียดนามยังมีเคล็ดลับความงาม ด้วยการใช้แป้งข้าวเจ้านี้มา
          นั้นหรือ                                                              พอกหน้า เพื่อท�าให้หน้าใสอีกด้วย

                                                                                    (อ่านต่อหน้า 11)
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10