Page 5 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 39 วันที่ 7 - 13 มกราคม 2562
P. 5
วันที่ ๗ - ๑๓ มกราคม ๒๕๖๒ ข่าวรามคำาแหง ๕
เศรษฐศาสตร์ 101
คณะเศรษฐศำสตร์ รศ.อสัมภินพงศ์ ฉัตรำคม
ตอน คณะมนุษยศำสตร์ ผศ.ดร.สรตี ปรีชาปัญญากุล
ใครว่าเงินบาทแข็งค่าดี
ในช่วงหลัง ๆ นี้ผมมีโอกาสอ่านเรื่องที่คนเขียนเผยแพร่ผ่านทางโซเชียล
เน็ตเวิร์กมากขึ้นหน่อย ก็เลยได้เห็นว่ามีคนอยู่ไม่น้อยที่ชื่นชมอยากให้เงินบาทแข็งค่า
กันเสียจริง บางคนเอ่ยอ้างอย่างภูมิใจเสียด้วยว่าเงินบาทเคยมีค่าเทียบเท่ากับ ห้องน�้ำ (ตอนที่ 7)
เงินปอนด์เชียวนะ ไม่ใช่กระจอก ๆ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเงิน 1 บาทเคยมีค่า
มากที่สุดที่ 13 บาทต่อ 1 ปอนด์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งการที่เงินบาทมีค่าต�่ากว่า Phòng tắm (ฝ่อง ตั๊ม)
เงินปอนด์ก็ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีอะไร อย่าไปคิดมากเพราะสมัยนั้นเขาเทียบ
อัตราแลกเปลี่ยนกันด้วยมูลค่าของโลหะมีค่าเช่นเงินหรือทองค�า ดังนั้นการที่มูลค่า ครั้งที่ผ่านมาเราได้พูดถึงค�าศัพท์
ของโลหะมีค่าที่ใช้ท�าเงิน 1 บาทนั้นต�่ากว่ามูลค่าโลหะมีค่าที่ใช้ท�าเงินปอนด์อยู่ Xà phòng ส่า ฟ่อง สบู่
13 เท่า อัตราแลกเปลี่ยนจึงออกมาเป็นแบบนั้น แต่พอมาในยุคหลังที่เลิกใช้ระบบ Gội Đầu โก่ย เดิ่ว แชมพูสระผม
มาตราทองค�าไปแล้ว ค่าเงินบาทจึงจะผันแปรตามทุนส�ารองเงินตราที่มีอยู่ในประเทศ
และภาวะเศรษฐกิจ ในครั้งนี้จะแนะน�าให้รู้จักค�าศัพท์ที่เกี่ยวกับห้องอาบน�้า อีก 2 ค�า คือ
การที่เงินบาทจะแข็งค่าหรืออ่อนค่าก็ตามล้วนแต่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย Giấy lụa เส้ย เหลื่อ กระดาษทิชชู
ทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งนั้น การอยากให้เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าจึงขึ้นอยู่กับ khăn lau chân คัน เลา เจิน ผ้าเช็ดเท้า
มุมมองว่าเราเป็นฝ่ายได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ซึ่งเป็นแง่ส่วนย่อยหรือจุลภาค Giấy lụa เส้ย เหลื่อ กระดาษทิชชู
ของเศรษฐกิจ แต่ถ้าจะมองในแง่ส่วนรวมหรือมหภาคแล้วก็จะต้องมาชั่งน�้าหนัก
ระหว่างข้อดีกับข้อเสียว่าค่าเงินควรเป็นอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศ กระดาษทิชชูมีหลายประเภท เช่น กระดาษทิชชูส�าหรับใช้เมื่อ
ของเรามากที่สุด รับประทานอาหาร โดยน�ามาใช้แทนผ้าเช็ดปาก เรียกว่า Khăn ăn (napkin
ผมจะขอเขียนถึงข้อดีและข้อเสียของการที่เงินบาทแข็งค่าก่อนก็แล้วกัน tissue) หรือ อีกประเภทหนึ่งคือ กระดาษอเนกประสงค์ khăn giấy đa
เพราะเป็นประเด็นที่หลายคนใฝ่ฝันอยากให้เป็นจริง ฝ่ายที่จะได้ประโยชน์จาก năng (kitchen towels) อาจใช้ปูรองอาหาร เพื่อซับน�้ามัน
การแข็งค่าของเงินบาทก็คือผู้น�าเข้าหรือคนที่ชอบใช้ของนอก เพราะราคาสินค้า Có nhiều loại giấy lụa bán ở siêu thị.
เหล่านี้เมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วจะถูกลงทันตาเห็น เช่นสมมติว่ารองเท้าแตะยี่ห้อ (ก๊อ เหญี่ยว ลหว่าย เส้ย เหลื่อ บ๊าน เอ๋อ เซียว ถิ)
หลุยติงต๊องราคาคู่ละ 1,000 ยูเอสดอลลาร์ ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 32.76 บาท มีกระดาษทิชชูหลายประเภทขายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
ต่อดอลลาร์เหมือนตอนที่ผมก�าลังเขียนอยู่นี้ ผู้น�าเข้าก็จะต้องขายที่ราคาไม่ต�่ากว่า นอกจากนี้ยังมีกระดาษทิชชูที่ใช้ในห้องน�้า สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่ง
คู่ละ 32,762 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมค่าโสหุ้ยต่าง ๆ และภาษีน�าเข้านะครับ) แต่ถ้า
ค่าเงินบาทกลับไปแข็งค่าที่ 25 บาทต่อดอลลาร์เหมือนช่วงก่อนปี 2540 ราคาน�าเข้า ได้ว่า Giấy vệ sinh (เส่ย เหวะ ซิน)
ที่คิดเป็นเงินบาทก็จะตกอยู่ที่คู่ละไม่ต�่ากว่า 25,000 บาท (เท่านั้น ???) Giấy vệ sinh này cao cấp mềm hơn, dai hơn sẽ mang lại
คนอีกพวกหนึ่งที่อยากให้เงินบาทแข็งค่าก็คือพวกชอบเที่ยวเมืองนอก cho bạn cảm giác được chăm sóc vô cùng nhẹ nhàng và tinh tế.
เพราะจะท�าให้ค่าใช้จ่ายเมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วถูกลงเช่นกัน สมมติตัวอย่างง่ายๆ กระดาษช�าระนี้มีคุณภาพสูง นุ่มและยาวกว่า จะท�าให้คุณรู้สึกซึมซับ
ว่าวางแผนจะไปด�าน�้าที่มัลดีฟด้วยงบ 5,000 ยูเอสดอลลาร์ (ที่สมมติเป็นดอลลาร์ ได้อย่างอ่อนโยน
เพราะเป็นเงินสกุลที่ใช้ได้เกือบทั่วโลก) ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอย่างปัจจุบัน khăn lau chân (คัน เลา เจิน ผ้าเช็ดเท้า) หรือในภาษาเวียดนาม
ก็จะต้องเอาเงินบาทไปแลกดอลลาร์ไว้ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวราว 163,812 บาท อีกค�าหนึ่ง เรียกว่า khăn chùi chân (คัน จุ่ง เจิน)
แต่ถ้าเงินบาทกลับไปแข็งค่าที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ คนไทยที่ชอบเที่ยวรายนี้ก็จะ Trước khi viếng nhà vệ sinh, nên lau bàn chân của bạn trên
ควักกระเป๋าเป็นเงินไทยแค่ 125,000 บาทเท่านั้น khăn lau chân cho khô. Để ngăn chặn trượt
กลุ่มสุดท้ายที่ผมจะยกตัวอย่างว่าเป็นพวกที่ชอบให้เงินบาทแข็งค่าก็คือ ก่อนออกจากห้องน�้า คุณควรจะเช็ดเท้าที่ผ้าเช็ดเท้าให้แห้ง เพื่อป้องกัน
ลูกหนี้ที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุนซึ่งท�าได้ผ่านกิจการที่เรียกว่าวิเทศธนกิจ การลื่นล้ม
สมมติว่าคนไทยอยากจะลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ เช่นสร้างคอนโดมิเนียม
สักโครงการหนึ่งและเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศถูกกว่าอัตราในประเทศ ถ้าเงินบาทแข็งค่าที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ ราคาข้าวของเราซึ่งต้องคิดเป็นดอลลาร์
จึงไปกู้มา 1 ล้านยูเอสดอลลาร์ โครงการนี้ก็จะต้องท�ารายได้เป็นเงินบาทได้ ก็จะตกอยู่ที่ตันละ 400 เหรียญ แต่ถ้าเงินบาทอ่อนค่าเป็น 32 บาทต่อดอลลาร์
ไม่ต�่ากว่า 32.76 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 32.76 บาทต่อดอลลาร์) จึงจะ ราคาข้าวในตลาดต่างประเทศก็จะเหลือตันละ 312.50 เหรียญเท่านั้น ถูกลงไปเยอะ
มีเงินไปใช้คืนเงินต้น (ยังไม่รวมดอกเบี้ย) ได้ แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่าเป็น 25 บาท เลยทีเดียวโดยที่ชาวนาในเมืองไทยยังขายข้าวได้ราคาตันละ 10,000 บาทเท่าเดิม
ต่อดอลลาร์ ก็จะต้องหารายได้แค่ 25 ล้านบาทเท่านั้นเพื่อไปใช้คืนเงินต้น ที่จริง อีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทก็คือธุรกิจการ
ตัวอย่างนี้ย้อนแย้งไปนิดหนึ่งเพราะในความเป็นจริงมันกลับหัวกลับหางกันคือ ท่องเที่ยวของไทย เพราะการที่เงินบาทอ่อนค่าก็จะท�าให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวไทย
ก่อนปี 2540 คนไทยไปกู้ต่างประเทศมาลงทุนตอนเงินบาทแข็งค่าที่ 25 บาท ของต่างชาติไม่ว่าจะคนอเมริกัน ยุโรป หรือคนจีน คนญี่ปุ่นถูกลง เช่นเมื่อเงินบาท
ต่อดอลลาร์ ดังนั้นถ้าหากเงินต้น 1 ล้านดอลลาร์ หารายได้มา 25 ล้านบาทก็พอ แข็งค่าที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ และสมมติว่านักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายในบ้านเราเฉลี่ย
ใช้หนี้ พอเกิดวิกฤตปี 2540 มีการลอยตัวค่าเงินบาทเป็นกว่า 40 บาทจึงจะแลกได้ รายละ 40,000 บาทคนจะมาเที่ยวจึงต้องมีงบ 1,600 ดอลลาร์ แต่ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลงมา
1 ดอลลาร์ มูลค่าเงินต้นคิดเป็นเงินบาทจากเดิม 25 ล้านกลายเป็น 40 กว่าล้านบาท อยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ ก็จะใช้งบท่องเที่ยวเหลือแค่ 1,250 ดอลลาร์เท่านั้น
ขึ้นมาทันที ไม่เจ๊งตอนนี้แล้วไปเจ๊งตอนไหนล่ะครับ โอกาสที่คนจะมาเที่ยวเมืองไทยจึงมีมากขึ้นโดยที่เรายังได้รายได้จากนักท่องเที่ยว
ด้วยตรรกะเดียวกัน พวกที่จะชอบให้เงินบาทอ่อนค่าก็คือผู้ส่งออกหรือ หัวละ 40,000 บาทโดยเฉลี่ยเหมือนเดิม
ได้ประโยชน์จากการส่งออกทั้งหลาย เพราะจะท�าให้สินค้าออกมีราคาถูกลง ในเมื่อปัจจุบันประเทศเราต้องพึ่งทั้งการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยว
เมื่อคิดเป็นเงินสกุลต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นผลให้ซื้อง่ายขายคล่องและแข่งขันกับ เป็นอย่างมาก ผมคงไม่ต้องบอกใช่ไหมครับว่าในแง่มหภาคแล้วเงินบาทควรจะ
ต่างประเทศได้ดีขึ้นตัวอย่างเช่นสมมติเราขายข้าวที่ราคาตันละ 10,000 บาท แข็งค่าหรืออ่อนค่า