Page 5 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 20 วันที่ 27 สิงหาคม - 2 กันยายน 2561
P. 5
ข่าวรามคำาแหง
วันที่ ๒๕ - ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙
วันที่ ๒๗ สิงหาคม - ๒ กันยายน ๒๕๖๑ ข่าวรามคำาแหง ๕ ๕
เศรษฐศาสตร์ 101
รศ.อสัมภินพงศ์ ฉัตราคม คณะเศรษฐศาสตร์
ตอน ปฏิรูปภาษี (1) ห้องครัว (ฝ่อง เบ๊ป) ต่อ
ช่วงนี้มีข่าวที่ตั้งหัวข้อกันว่า “ปฏิรูปภาษี” เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่เท่าที่ผม ผศ.ดร.สรตี ปรีชาปัญญากุล aseanlang_ram@yahoo.co.th
ดูแล้วเรื่องที่ว่านั้นไม่น่าถึงขั้นเรียกว่าปฏิรูปซึ่งมาจากภาษาอังกฤษว่า reform
เพราะดูแล้วเป็นแค่การเพิ่มชนิดของภาษีขึ้น 1-2 อย่าง และการเปลี่ยนแปลง ครั้งที่แล้วเราได้รู้จักคำาศัพท์ (ฝ่อง เบ๊ป) ห้องครัว
อัตราภาษีบางประเภทเท่านั้น เพื่อให้เห็นว่าต้องทำาแค่ไหนถึงจะเรียกปฏิรูป Dao (ซาว) มีด (เทื้อด) เขียง ครั้งนี้จะกล่าวถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในห้องครัว คือ
(เดี๋ย) จาน
(เดี๊ย หล่า โด่ เหวิต ดึ่ง ทึ้ก อัน)
ผมก็เลยจะเล่าถึงการปฏิรูปภาษีที่เกิดมาแล้วจริงให้อ่านกันเสียเลย จานคือภาชนะสำาหรับใส่อาหาร อีกความหมายหนึ่งที่มักจะพบคือ หมายถึง
ภาษีเป็นแหล่งรายได้ที่สำาคัญของรัฐบาล ปัญหาเกี่ยวกับภาษีที่มัก แผ่นดิสก์ (โด่ เหวิต ฮิ่ง เดี๋ย) เรียกว่าแผ่นดิสก์เพลง
เกิดขึ้นบ่อย ๆ กับรัฐบาลของแทบจะทุกประเทศก็คือการจัดเก็บได้ไม่พอ (เดี๋ย หญ่าก) (บ๊าต) ชาม
กับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ผมจะเขียนในตอนนี้จึงเป็นเรื่อง (บ๊าต หล่า โด่ สุ่ง เด๋ ดึ่ง ทึ้ก อัน ทึ้ก อ๊วง) ชามเป็นภาชนะ
ของการปฏิรูประบบภาษีเพื่อให้จัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำาหรับใส่อาหาร หรือเครื่องดื่ม (อัน ซอง เสือ บ๊าต)
ซึ่งก็จะช่วยไม่ให้รัฐบาลต้องประสบปัญหาเงินไม่พอใช้ เรื่องนี้ผมขอย้อน กินเสร็จล้างชามหรือบางครั้งจะได้ยินคนเวียดนามใช้คำาพูดเรียกรวมทั้ง
เล่าเรื่องกลับไปในอดีตนะครับ เพื่อจะได้เป็นความรู้ว่าในอดีตเรามีวิธีแก้ปัญหา ชามและจานว่า (เสือ บ๊าต เดี๋ย) ล้างชาม (จาน) คล้ายกับบ้านเรา
กันอย่างไร แต่ก็คงไม่ย้อนไปไกลมากเพราะการปฏิรูปภาษีที่สำาคัญเกิดขึ้น ที่บอกว่า ล้างจาน แต่ก็หมายรวมถึงชามและอื่น ๆ ด้วย (โก๊ก) ถ้วย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นี่เอง ถ้วยคำานี้นอกจากเราจะรู้จักว่าเป็นถ้วยใส่นำ้าชาสำาหรับรับแขก ซึ่งได้เคย
ตามที่เราเรียนในวิชาประวัติศาสตร์กันมาตั้งแต่เด็กว่าในสมัย คุยกันไปแล้ว ยังหมายถึงแก้วนำ้าก็ได้ เช่น (โก๊ก เนื้อก
รัชกาลที่ 5 นั้นเป็นยุคที่ประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ จ่าน ลี) แก้วนำ้า แก้วใส หรือ (โก๊ก เนื้อก
มากมายทั้งการคมนาคมขนส่งทางรถไฟ การสาธารณสุข กิจการไปรษณีย์ เอิ๊ม โก๊ก เนื้อก น้อง) แก้วนำ้าอุ่น แก้วนำ้าร้อน
ไฟฟ้าและประปา รวมทั้งการตัดถนนใหม่ ๆ ให้รถยนต์วิ่งได้ขึ้นหลายสาย (กอน มาง โก๊ก ก่า เฟ จอ โบ๋) ลูกถือแก้วกาแฟให้พ่อ เที่ย ช้อน
การพัฒนาเหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้เงินเป็นจำานวนมากทั้งสิ้น แต่แหล่งรายได้
สำาคัญของรัฐบาลคือภาษีนั้นจำากัดอยู่ด้วยสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำาไว้กับ (เที่ย สุ่ง กุ จอ อัน เดือ ม้อน อัน ฮวัก ไคว ทึ้ก อัน ไฮ โด่ อ๊วง) ช้อนใช้สำาหรับกิน
ชาติมหาอำานาจซึ่งทำาให้ไทยเราต้องจำากัดอัตราภาษีขาเข้าไว้ที่ไม่เกิน ตักอาหาร หรือคนอาหารและเครื่องดื่ม
ร้อยละ 3 เท่านั้น (เรียกภาษีร้อยชักสาม) ส่วนภาษีอื่นที่เป็นรายได้หลัก (เหงื่อย ถาย อัน เกิม บั่ง เที่ย) คนไทยกินข้าวด้วยช้อน เหนีย ส้อม
ให้รัฐบาลยุคปัจจุบัน คือภาษีเงินได้ก็ยังไม่มีการจัดเก็บในยุคนั้น และที่สำาคัญ (เหนีย หล่า
ระบบการจัดเก็บก็ยังใช้วิธีการดั้งเดิมคือให้เอกชนประมูลผูกขาดเป็น โด่ สุ่ง จอ เด๋ ทึ้ก อัน สัน จอง เหมี่ยง) ส้อมใช้สำาหรับตักอาหารเส้นเข้าปาก
“เจ้าภาษี” และส่วนที่ทางราชการจัดเก็บก็ยังไม่มีการจัดทำาบัญชีและรายงาน (เหงื่อย โจว โอว อัน บั่ง
การจัดเก็บที่เป็นระบบจนบางครั้งมีแต่ตัวเลขในบัญชีแต่หาตัวเงินจริง ๆ ไม่เจอ เหนีย หว่า ซาว) คนยุโรปกินด้วยส้อมและมีด ดั๋ว ตะเกียบ
เรื่องเงินของทางราชการไม่พอใช้นั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะตั้งแต่
รัชกาลที่ 5 ทรงขึ้นครองราชย์ รายได้ภาษีอากรก็ลดลงเรื่อย ๆ จากปีละ (ดั๋ว หล่า โด่ สุ่ง เด๋ หว่า เกิม หว่า กั๊บ
5 - 6 หมื่นชั่งเหลือเพียง 4 หมื่นชั่งเท่านั้น แถมยังเป็นตัวเงินที่จะเบิกมา ทึ้ก อัน หิ่ง เกว จ่อน หว่า หงัน แก็ป ท่าญ ตึ่ง โดย) ตะเกียบเป็นอุปกรณ์
ใช้ได้จริงแค่ 2 หมื่นชั่ง ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะและบริหาร สำาหรับกินข้าว และคีบอาหาร รูปร่างเป็นแท่งกลม ประกอบกันเป็นคู่
ราชการแผ่นดินได้โดยไม่ต้องขึ้นกับผู้สำาเร็จราชการแผ่นดินอีกต่อไป (เหงื่อย เหวียต นาม อัน เกิม
กระบวนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้น บั่ง ดั๋ว) คนเวียดนามกินข้าวด้วยตะเกียบ
ผมต้องขอย้อนไปเขียนถึงวิธีการจัดเก็บแบบเดิมนิดหนึ่งเพื่อท่าน
ผู้อ่านจะได้เห็นว่ามันรั่วไหลได้ขนาดไหน โดยจะขอเล่าถึงระบบดั้งเดิม เมื่อการจัดเก็บโดยข้าราชการไม่มีประสิทธิภาพเช่นนี้จึงทำาให้มีการ
ที่ขุนนางจัดเก็บก่อนก็แล้วกัน เราต้องไม่ลืมนะครับว่าขุนนางยุคก่อน นำาระบบเจ้าภาษีซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้ในเมืองจีนและเคยใช้มาก่อนแล้ว
ปฏิรูปภาษีนั้นไม่มีเงินเดือน มีแต่เบี้ยหวัดเงินปีซึ่งขึ้นอยู่กับว่ามีเงินเหลือ ตอนใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยากลับมาใช้ใหม่ราว ๆ สมัยรัชกาลที่ 3 โดยวิธี
ในท้องพระคลังเพียงใด ถ้ามีมากก็อาจได้มากหน่อย ถ้ามีน้อยก็ได้น้อย การคือภาษีแต่ละอย่างจะให้เอกชนประมูลว่าจะให้เงินกับทางราชการได้เท่าไหร่
ก็เหมือนกับโบนัสของบริษัทในปัจจุบันนี่แหละครับ แถมมีเรื่องเล่าว่าบางปี ผู้ที่เสนอรายได้ให้มากที่สุดก็จะได้สิทธิผูกขาดจัดเก็บภาษีนั้น ๆ ไปวิธีการนี้
ทางราชการไม่มีเงินพอจึงพระราชทานเป็นผ้าแทนก็มี การที่ขุนนางไม่มี ก็ดูเหมือนจะดีในตอนแรกเพราะทางราชการได้เงินเข้ามากกว่าที่ปล่อยให้ขุนนาง
เงินเดือนนี่เองจึงมีประเพณีปฏิบัติให้ขุนนางเรียกรับเงินจากผู้มาติดต่อ จัดเก็บกันเอง แต่ต่อมาก็มีปัญหาเพราะพวกเจ้าภาษีเมื่อจัดเก็บเงินได้แล้ว
ราชการได้ ส่วนภาษีอากรต่าง ๆ ของทางราชการจะมีขุนนางที่มีตำาแหน่ง ก็เก็บเอาไว้ไม่ส่งมอบให้ทางการ พอเร่งรัดก็ขอผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ จนบัญชี
หน้าที่โดยเฉพาะจัดเก็บ แต่ก็ไม่มีระบบการบันทึกและตรวจสอบที่ชัดเจน รายรับของทางราชการมีแต่ตัวเลข ไม่มีเงินจริงหลักฐานเรื่องนี้ปรากฏชัดเจน
จนทำาให้การจัดเก็บรั่วไหลไปเสียมาก และถ้าเป็นกรณีของข้าหลวงที่ อยู่ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5
ส่งไปปกครองหัวเมืองก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะใช้ระบบที่เรียกว่า “กินเมือง” การปฏิรูปภาษียังไม่ทันเริ่ม โควต้าหน้ากระดาษผมก็หมดลงเสียแล้ว
คือจัดเก็บภาษีอากรได้เท่าไหร่สามารถหักเก็บไว้ได้ครึ่งหนึ่ง กรุณาติดตามตอนต่อไปนะครับ