Page 5 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 35 วันที่ 10 - 16 ธันวาคม 2561
P. 5

วันที่ ๑๐ - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๑                           ข่าวรามคำาแหง                                                              ๕

           เศรษฐศาสตร์ 101






           คณะเศรษฐศาสตร์                          รศ.อสัมภินพงศ์ ฉัตราคม       คณะมนุษยศาสตร์                               อาจารย์ตูซาร์ นวย
           ตอน        แดงทั้งกระดาน                                                 การสั่งอาหาร (4)
                                                     32.65
                                         10.50
                                                                92.15
                              12.50
                                         10.00
                                                                87.80
                              12.00
                                                     30.80
                                           9.20
                                                     30.45
                                                                86.95
                              11.50
                  เมื่อตอนที่แล้วผมได้เขียนถึง “เขียวยกแผง” ไปแล้ว ถ้าจะไม่เขียนถึง     เมื่อคุณไปท่องเที่ยวในประเทศเมียนมา แล้วถ้าคุณต้องการสั่ง
           ของคู่กันคือ “แดงทั้งกระดาน” ก็กระไรอยู่ ตอนนี้ก็เลยต้องปิดจ็อบด้วยเรื่องที่
           นักเล่นหุ้นไม่มีใครชอบซึ่งก็คือการที่หุ้นส่วนใหญ่ราคาร่วงเอาร่วงเอาจนขึ้น  อาหารที่ร้านขายอาหารโดยตัวคุณเอง, บทสนทนาต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง
           สีแดงเถือกไปทั้งกระดานตามชื่อตอนนี่แหละครับ ที่ว่าไม่มีใครชอบก็เพราะคนที่  ประโยคที่สามารถใช้ในการสั่งอาหารได้
           หนีไม่ทันก็จะต้องอยู่ในภาวะ “ติดดอย” ซึ่งท�าให้เครียดจนเป็นโรคประสาทได้  ตัวอย่างบทสนทนา

           (เรื่องติดดอยนี้ผมเคยเขียนไว้เมื่อนานมาแล้วจึงขอสรุปสั้น ๆ ว่าคือการที่นักลงทุน
           รายย่อยที่เรียกกันแบบล้อ ๆ ว่าแมงเม่าซื้อหุ้นไว้ตอนราคาสูงมาก ๆ แล้วมันตกฮวบๆ  ซ้าตู                       ดี ฮี้น ตเว โก มะ มา ท้า บู้

           จะขายก็ขาดทุนมากเลยต้องทนเก็บเอาไว้รอให้ราคามันกระเตื้องขึ้นมาใหม่)  (ลูกค้าที่มากิน)           (ไม่ได้สั่งกับข้าวทั้งหมดนี่ไว้)
                  การที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ร่วงผล็อย ๆ กันแทบจะถ้วนหน้านั้นอาจมีสาเหตุ
           ได้หลายประการ แต่ที่มักจะใช้เป็นข้ออ้างอิงของนักวิเคราะห์ก็คือเหตุจากปัจจัย
           ภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในนั้นส่วนใหญ่ก็คือเสถียรภาพทางการเมือง-
           เศรษฐกิจ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน  ซะบแว้โท้

           ดุลการค้า ค่าเงินบาท ฯลฯ ส่วนปัจจัยภายนอกส่วนใหญ่ก็คือเสถียรภาพทางการเมือง  (พนักงานเสิร์ฟ)         เมียนมา ทะมี้นไซมา ทะมี้น ฮี้นโช อะแยวะจอ
           ระหว่างประเทศ เช่นมีความหวาดระแวงว่าจะมีการเกิดสงครามในภูมิภาคไหน                                งะปิเย โต่ซยาโก มาซะยา มะโลบาบู้, อะละก้า เป้แด
           หรือไม่ รวมทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศที่มีอิทธิพลสูงต่อเศรษฐกิจโลก                      (ที่ร้านอาหารแบบเมียนมา ไม่ต้องสั่งข้าวสวย น�้าซุป

           เช่นสหรัฐฯ หรือจีนซึ่งอาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนกับตลาดหุ้นได้ทั่วโลกไม่จ�ากัด                 ผัดผัก น�้าปลาร้า ผักจิ้ม, มาให้แบบฟรีๆ เลย)
           เฉพาะประเทศไทย
                  เหตุผลที่ว่าท�าไมผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวไปแล้วจึงท�าให้หุ้นตก  ซ้าตู              งะปิเยแทโก งะโยะตี้โม่น มะแท่บู้

           (หมายถึงราคาหุ้นลดลง) นั้นถ้าจะอธิบายด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ก็คือการขาด  (ลูกค้าที่มากิน)           (ไม่ใส่พริกป่นในน�้าปลาร้า)
           เสถียรภาพทางการเมืองหรือเศรษฐกิจมักจะก่อให้เกิดผลทางลบต่อการตัดสินใจ
           ลงทุนรวมถึงผลการประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดหรือไม่อยู่
           ในตลาดหลักทรัพย์ก็ตามเนื่องจากธุรกิจมันเกี่ยวโยงเชื่อมถึงกันหมด เมื่อผลประกอบการ
           ไม่ดี ก�าไรก็จะลดน้อยลงหรืออาจกลายเป็นขาดทุนเมื่อการประเมินราคาหุ้นต้องอาศัย  ซะบแว้โท้                โฮะแก้ ยะปาแด, อะมะ ทะมี้น ทะโลชีนเต้ล้า
           ฐานผลการประกอบการเป็นหลักก็จะท�าให้คาดหมายได้ว่าหุ้นจะราคาตก พวกนกรู้ (พนักงานเสิร์ฟ)          (ได้สิครับ,  พี่สาว จะสั่งข้าวเพิ่มอีกไหม)
           ที่คาดการณ์ได้ก่อนก็ขายทิ้งหรือหนีทัน ส่วนแมงเม่าที่มักเชื่อตามนายหน้าหรือ

           โบรกเกอร์ขายหุ้นก็จะประสบภาวะติดดอยกันเป็นแถว                        ซ้าตู                       ตอปยี, มะยูด้อบู้, ไบ่ตี้นเนปยี
                  ตามหลักอุปสงค์อุปทาน(อีกแล้ว) สินค้าอะไรที่มีแต่คนขาย ไม่มีใครซื้อ  (ลูกค้าที่มากิน)          (พอแล้ว, ไม่เอาแล้ว, แน่นท้องไปแล้ว)
           หรือซื้อน้อยมาก สินค้านั้นก็ย่อมจะราคาตกต�่าลงเป็นธรรมดาเช่นราคาสับปะรด
           เมื่อต้นปีที่เคยตกเหลือกิโลละบาท (ที่หน้าฟาร์ม) ราคาหุ้นก็เช่นกัน เมื่อรายใหญ่     ในบทสนทนานี้ ค�าว่า
           เริ่มเทขายเพื่อหนีตายราคาหุ้นก็จะปักหัวลงทันที คราวนี้แมงเม่ารายเล็กรายน้อย                                                                           เป็นค�ากริยา

           ก็แตกตื่นกันสิครับ ใครหนีทันคือขายได้ก่อนราคาหุ้นจะต�่ากว่าตอนที่ซื้อเข้ามา  ปฏิเสธ ตามหลักไวยากรณ์ภาษาเมียนมา การสร้างประโยคคือ “ประธาน –
           ก็ถือว่าโชคดีไป และถ้าหุ้นหลัก ๆ ราคาต�่าลงต่อเนื่องก็จะพลอยฉุดให้หุ้นอื่นๆ  กรรม – กริยา” ดังนั้น ค�ากริยาจะอยู่ท้ายประโยค แล้ว

           พลอยร่วงตามไปด้วย ผลก็คือ “แดงทั้งกระดาน” อย่างที่รู้ ๆ กัน          ที่เป็นรูปแบบการใช้ประโยคปฏิเสธนั้น จะมาอยู่กับค�ากริยา ค�าว่า
                  ในด้านของปัจจัยภายนอกนั้น ตัวอย่างของสาเหตุที่ท�าให้ตลาดหุ้นของเรา จะอยู่ข้างหน้าค�ากริยา และต่อด้วย           ซึ่งไวยากรณ์ภาษาเมียนมาแตกต่าง
           กระทบหนักก็อย่างเช่นสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วรวมทั้งสงคราม จากภาษาไทยอย่างสิ้นเชิง
           ในตะวันออกกลางที่ตามมาอีกหลายครั้ง หรืออีกเรื่องหนึ่งก็คือการเกิดวิกฤต ยกตัวอย่าง เช่น
           เศรษฐกิจที่เรียกว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ที่สหรัฐฯ เมื่อสัก 10 กว่าปีที่ผ่านมา  1.                                                    แปลว่า “วันนี้ ไม่กินอาหารค�่า”

           และการที่ประเทศในยุโรปหลายประเทศเช่นกรีซ และสเปนมีปัญหาไม่มีเงินช�าระหนี้  2.                                                                แปลว่า “ไม่พูดคุย
           จนต้องขอกู้ IMF (เหมือนประเทศไหนก็ไม่รู้) เป็นต้น ส่วนกรณีที่จะอ้างได้ว่ามีผลทางลบ      กับพวกเขา”
           ต่อตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันก็อย่างเช่นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และ  3.                                                    แปลว่า “ไม่นั่งที่ตรงนี้”
           การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะท�าให้เงินทุนไหลออกจาก
           ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย                                    4.                                                    แปลว่า “ไม่ดื่มกาแฟ”

                  ในภาวะแดงทั้งกระดานนั้นไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนเครียดจนเป็นโรคประสาท  5.                                                                          แปลว่า
           กันไปเสียหมด เพราะอย่างที่เขาว่ากันว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส เพียงแต่โอกาสนั้น     “หาไม่เจอในทุกๆ ที่”
           มักเกิดกับคนกลุ่มน้อยเพียงไม่กี่คนที่มีเงินเย็น (คือทรัพย์สินของตัวเองที่มีมหาศาล
           ไม่ต้องกู้ยืมใครมา) คนพวกนี้จะเห็นโอกาสเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีเอาไว้ ไม่ใช่นักเก็งก�าไรและมักจะไม่เสียหายมากนักจากภาวะแดงทั้งกระดาน เนื่องจาก
           ในตอนที่หุ้นพวกนี้ราคาถูกลง แม้ว่าหุ้นที่พื้นฐานดีนั้นราคาจะตกลงไม่มากก็ตาม หุ้นที่ซื้อไว้นั้นจะขาดทุนก็เมื่อขายได้ราคาต�่ากว่าตอนที่ซื้อมาเท่านั้น ตราบใดที่
           แต่ก็จะได้โอกาสซื้อเก็บเพราะมีโอกาสได้ทั้งเงินปันผลจากก�าไรในอนาคตและการ ยังไม่ขายก็ยังไม่ขาดทุน ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็จะท�าใจได้ไม่เป็นโรคประสาทที่ต้องทน
           ที่มูลค่าหุ้นสูงขึ้นเมื่อตลาด (หุ้น) กลับมาฟื้นตัวใหม่ คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นนักลงทุน เห็นทรัพย์สิน (หุ้น) ของตัวเองมูลค่าตกต�่าไปทุกวัน
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10