Page 7 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 7 วันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2561
P. 7
วันที่ ๒๘ พฤษภาคม - ๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ ข่าวรามคำาแหง ๗
อาจารย์ภัทระ ลิมป์ศิระ คณะนิติศาสตร์
สนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของอาเซียน (ASEAN Treaty on Extradition) (ตอนแรก)
การส่งผู้ร้ายข้ามแดน คือ การที่รัฐหนึ่งส่งบุคคลผู้กระทำาความผิด
หรือที่ต้องหากระทำาผิดของตนให้แก่อีกรัฐหนึ่ง โดยอาศัยเหตุที่ว่า รัฐนั้น
มีอำานาจที่จะพิจารณาลงโทษผู้กระทำาผิดที่ได้เกิดขึ้นในรัฐที่ร้องขอตัวมา ทั้งนี้
เพื่อความร่วมมือช่วยเหลือกันในการปราบปรามอาชญากรรม เพื่อผดุงไว้
ซึ่งความยุติธรรมและความสงบของบ้านเมือง เพื่อเป็นการแสดงอัธยาศัยไมตรี
ระหว่างประเทศ และเพื่อปลีกตัวผู้กระทำาผิดออกไปจากประเทศของตน
ทั้งสี่ประการนี้เป็นมูลฐานสำาคัญของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งฝ่ายรัฐที่มีคำาขอ
และทางฝ่ายรัฐที่รับคำาขอ ซึ่งการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นเป็นเรื่องที่ปฏิบัติกัน ยุคที่ 1 เป็นช่วงระหว่างตั้งแต่ ค.ศ. 1700 - 1800 เป็นยุคของการ
มาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์ โดยเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศอียิปต์ ส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและศาสนา
กับ ฮิททีทีส และมีการบันทึกสลักอักษรเฮียโรกราฟฟิค ไว้ที่ผนังของวิหาร ยุคที่ 2 เป็นช่วงระหว่าง ค.ศ. 1800 - 1833 เป็นยุคของการทำาสนธิสัญญา
อัมมอนแห่งคานัค อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของสนธิสัญญาว่าด้วยการส่ง เกี่ยวกับความผิดทางการทหาร
ผู้ร้ายข้ามแดน ยุคที่ 3 เป็นช่วงระหว่าง ค.ศ. 1833 - 1948 เป็นยุคของการยับยั้งและ
โดยการที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนี้มีขึ้นเนื่องจากมีหลักกฎหมาย ปราบปรามอาชญากรรม
ระหว่างประเทศอยู่ว่า ผู้กระทำาความผิดต้องได้รับการลงโทษ โดยรัฐที่ตนหลบภัย ยุคที่ 4 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 เป็นต้นมา เป็นยุคของการวิวัฒนาการ
หรือต้องถูกส่งตัวไปให้รัฐที่สามารถและจะลงโทษบุคคลนั้น รัฐที่สามารถ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและกระบวนการอันมิชอบด้วยกฎหมายตาม
จะลงโทษผู้กระทำาความผิดได้ หมายถึง รัฐที่ใช้อำานาจลงโทษผู้กระทำาความผิด หลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ตามหลักดินแดน กล่าวคือ ไม่ว่าบุคคลใดเข้ามากระทำาความผิดภายในอาณาเขตของรัฐ โดยจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปราม
รัฐย่อมมีอำานาจลงโทษผู้กระทำาความผิดตามหลักสัญชาติกล่าวคือ ไม่ว่าบุคคลใด อาชญากรรมในยุคใหม่มีมาตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ
เข้ามากระทำาความผิดภายในอาณาเขตของรัฐ รัฐย่อมมีอำานาจพิจารณาพิพากษา ในสมัยช่วงกลางศตวรรษที่ 18 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นเรื่องของผู้ลี้ภัย
และลงโทษบุคคลนั้นได้ และรัฐที่ใช้อำานาจลงโทษผู้กระทำาความผิดตาม ทางการเมืองมากกว่าผู้กระทำาผิดตามกฎหมายจริงๆ ต่อมาในยุคหลังของ
หลักสัญชาติกล่าวคือ รัฐแต่ละรัฐจะมีอำานาจเหนือบุคคลที่มีสัญชาติของรัฐนั้น ศตวรรษที่ 18 ประชาชนในประเทศต่างๆ มีการติดต่อและดำาเนินธุรกิจต่างๆ
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะไปกระทำาความผิดภายนอกหรือภายในอาณาเขตของรัฐ ร่วมกันมากขึ้น ก่อให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างประเทศต่างๆมากยิ่งขึ้น
หลักกฎหมายดังกล่าวมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญาของไทยเช่นกัน โดยหลักทั่วไป รัฐมีอำานาจเหนือบุคคลทั้งหลายที่อยู่ภายในอาณาเขต
มาตรา 8 ได้บัญญัติถึงอำานาจของรัฐที่จะพิจารณาพิพากษาคดีที่บุคคล
ได้กระทำาความผิดนอกราชอาณาจักรและกลับเข้ามาในราชอาณาจักร โดย รวมทั้งอำานาจในการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายด้วย แต่อำานาจนี้ย่อมจะใช้ไม่ได้
ผู้กระทำาผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น เมื่อผู้กระทำาผิดได้หลบหนีออกนอกประเทศ กล่าวอีกในหนึ่ง คือ รัฐมีอำานาจ
หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือถ้าผู้กระทำาความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว ที่จะพิจารณาลงโทษผู้กระทำาผิดกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้ร้ายยังอยู่ในอาณาเขต
และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหาย และ ผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ ของรัฐนั้น ถ้าผู้ร้ายได้เข้าไปอยู่ในอาณาเขตของรัฐอื่นอำานาจของรัฐนั้น
ทั้งนี้ความผิดที่กระทำาจะต้องเป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรานั้นๆ ด้วย ก็ต้องหยุดชะงักลง ประกอบกับแต่ละรัฐก็ต้องหวงแหนอำานาจอธิปไตยของตน
แต่บทบัญญัติที่กล่าวมานี้ไม่สามารถนำามาใช้บังคับได้ ถ้าหากผู้กระทำาความผิด แต่การปล่อยให้ผู้ร้ายหลบหนีการลงโทษไปได้ก็เป็นการไม่สมควร อีกทั้ง
หลบหนีไปนอกราชอาณาเขตของรัฐและเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขต ยังเป็นอันตรายต่อสังคมโลกในส่วนรวมอีกด้วย ฉะนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน
ของรัฐอื่น วิธีการที่จะทำาให้บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้จึงต้องมีการ ไม่ให้ผู้กระทำาผิดกฎหมายหลีกเลี่ยงการลงโทษได้โดยอาศัยดินแดนของรัฐอื่น
ร้องขอไปยังรัฐที่ผู้กระทำาความผิดหลบซ่อนอยู่ให้ช่วยจับกุม และส่งตัวบุคคลนั้น เป็นที่คุ้มกันและเพื่อกำาจัดอาชญากรรมและรักษากฎหมายรวมทั้งความสงบสุข
กลับมาเพื่อการพิจารณาคดีและลงโทษต่อไป วิธีการเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือ รัฐต่างๆ จึงร่วมมือกันโดยการส่งผู้ร้ายที่หลบหนีเข้ามาคืนไปยังรัฐที่มีความผิด
ระหว่างประเทศในทางอาญารูปแบบหนึ่งโดยการติดตามจับตัวบุคคล ได้เกิดขึ้น กฎหมายเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจึงก่อตั้งขึ้นบนหลักแห่ง
ที่กระทำาความผิดกลับมาลงโทษ เพื่อร่วมมือกันปราบปรามผู้กระทำาความผิด ความร่วมมือของรัฐต่อรัฐ
ที่หลบหนีไปต่างแดนและเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายอาญาเป็นไปอย่างมี เนื่องจากข้อจำากัดของพื้นที่ ผู้เขียนจะขออธิบายถึงการพยายามยกร่าง
ประสิทธิภาพ สนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของอาเซียนในฉบับหน้านะครับ
ยุคของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและประเด็นสำาคัญเกี่ยวกับการส่งผู้ร้าย ที่มาของภาพ http://www.shutterstock.com/pic-97655330/stock-photo-
ข้ามแดนในยุคนั้นๆ จะพบว่ามีประวัติความเป็นมาดังนี้ policeman-chasing-robber.html