Page 7 - ข่าวรามคำแหง ปีที่ 48 ฉบับที่ 17 วันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2561
P. 7
วันที่ ๖ - ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ข่าวรามคำาแหง ๗
เรียงความชนะเลิศวันไหว้ครู ประจ�าปีการศึกษา 2561
นายศราวุธ นุกูลกิจ นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ รหัส 5803013415
ครูผู้ให้แสงสว่าง แห่งปัญญา มัธยมศึกษา งานช่างก่อสร้างช่างไฟฟ้าส�าหรับนักศึกษาสายอาชีพ หรือ
ความรู้ทางกฎหมายของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนเป็น
ศาสนาพุทธให้ความส�าคัญกับแนวคิดเรื่องปัญญาเป็นอย่างมาก ดังปรากฏ ความรู้ทางวิชาการ ครูมีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจแก่ศิษย์ให้เกิดปัญญา
ในบริบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า ปัญญาบารมี จนสามารถน�าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�าวัน หรือใช้ประกอบสัมมาชีพในอนาคต
ในมโหสถชาดก หลักธรรมเรื่องปัญญาในไตรสิกขา รวมถึงพุทธศาสนสุภาษิต การถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการจึงถือเป็นภารกิจหลักและส�าคัญที่สุด
เช่น “นัตถิ ปัญญาสมาอาภา” ซึ่งหมายถึง แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี และ ในบทบาทของครู เพราะความรู้ต่างๆ เหล่านี้นอกจากศิษย์จะน�าไปใช้เสริมสร้าง
“ปัญญา โลกัสมิ ปัชโชโต” อันหมายถึง ปัญญาเป็นแสงสว่างแห่งโลก ปัญญานั้นคือ และพัฒนาศักยภาพของตนเองแล้ว ยังมีส่วนส�าคัญที่จะช่วยพัฒนาสังคม
ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว รู้ถึงเหตุและผล รู้ถึงบาปบุญคุณโทษ รู้สิ่งควรท�าควรเว้น และประเทศชาติอีกด้วย
รวมทั้งรู้จักการแก้ปัญญา จากลักษณะของปัญญาที่มีนัยความหมายไม่ได้จ�ากัด ครูผู้แนะแนวทางตามครรลอง
เฉพาะการมีความรู้ในต�ารานี้เองที่ท�าให้แนวคิดเรื่องปัญญามีความส�าคัญยิ่ง เนื่องด้วยระยะเวลาที่ยาวนานในการศึกษา มนุษย์ผูกพันกับการศึกษา
ด้วยเหตุนี้จึงมักมีการน�า “ปัญญา” ไปอุปมาอุปไมยกับ “แสงสว่าง” เพื่อสร้างภาพ ใช้ชีวิตเปลี่ยนวัยจากเด็กสู่วัยรุ่นจวบจนบรรลุนิติภาวะ ช่วงดังกล่าวนี้เอง
เปรียบว่าแสงสว่างแห่งปัญญาจะช่วยขจัดความเขลา ความลุ่มหลง และ ที่มีความส�าคัญในการหล่อหลอมพฤติกรรมของมนุษย์ที่จะค่อยๆ เรียนรู้
ความมืดบอดแห่งจิตใจ เสมือนแสงอาทิตย์ที่ยังความสว่างไสวให้แก่สรรพสัตว์ และซึมซับสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลาทั้งสิ่งดีและไม่ดี ครูจึงเป็นผู้มีบทบาทส�าคัญ
และผืนโลก ในฐานะ “แม่พิมพ์” คือเป็นแบบอย่างที่ดีให้ศิษย์ได้ยึดถือและซึมซับเป็นแนวทาง
มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับการแสวงหาปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่ ในการปฏิบัติตน รวมทั้งครูต้องหมั่นเอาใจใส่อบรมกริยามารยาท สังเกต
ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือมีมาแต่ก�าเนิด แต่เกิดจากการเรียนรู้และ พฤติกรรมของศิษย์ให้เป็นไปตามครรลองที่ดีงามของสังคม ประเพณี และ
ฝึกฝนไม่ว่าทางกายหรือจิตใจ ตั้งแต่แรกเกิดมนุษย์ล้วนจ�าเป็นต้องพึ่งพิงพ่อแม่ วัฒนธรรม หากพบว่าพฤติกรรมใดของศิษย์เบี่ยงเบนไปจากครรลอง ครูก็ย่อม
ในการเติบโตและเรียนรู้โลก จนกระทั่งเจริญวัยในอีกขั้นจ�าเป็นต้องเข้าสู่ เป็นอีกหนึ่งแรงส�าคัญที่จะแนะแนวทางที่ถูกที่ควร ยังปัญญาให้เกิดแก่ศิษย์
ระบบการศึกษาที่มีครูเป็นผู้มีบทบาทส�าคัญ ระยะเวลาอันยาวนานในการศึกษา คือให้รู้ว่าสิ่งใดควรประพฤติ สิ่งใดควรงดเว้น ให้เข้าใจเหตุและผลว่าเมื่อ
ตั้งแต่อนุบาล ปฐมวัย มัธยมฯ จวบจนอุดมศึกษานี้เองที่มนุษย์ได้แสวงหาปัญญา ประพฤติตนอย่างไรไม่ว่าดีหรือเลว ผลที่ตามมาก็ย่อมเป็นอย่างนั้น
โดยมีครูเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาททั้งความรู้ อบรมจริยา รวมทั้งขัดเกลาจิตใจ ครูผู้ขจัดเขลาและขัดเกลา
ข้อความตอนหนึ่งในพระราโชวาทของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ส�าเร็จการศึกษา พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกของมนุษย์ล้วนแต่สะท้อนความคิด
จากวิทยาลัยครู ณ อาคารใหม่สวนอัมพร เมื่อวันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ความคิดจึงเปรียบเสมือนโรงงานที่มีพฤติกรรมเป็นผลิตภัณฑ์ ดังนั้นประเด็น
กล่าวถึงบทบาทของครูว่า “...อาชีพครูถือว่าส�าคัญอย่างยิ่ง เพราะครูมี เกี่ยวกับความคิดจึงมีความส�าคัญมาก การที่ศิษย์มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไป
บทบาทส�าคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญมั่นคง และก่อนจะพัฒนาประเทศ จากครรลองของสังคม ย่อมสะท้อนมโนทัศน์บางอย่างในตัวเขา เช่น เพราะ
ให้เจริญมั่นคงได้นั้น จะต้องพัฒนาคนซึ่งได้แก่เยาวชนของชาติเสียก่อน ความเขลา ความลุ่มหลง หรือความไม่รู้ เป็นต้น ครูจึงมีบทบาทในการขจัดเขลา
เพื่อให้เยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าสมบูรณ์ทุกด้าน” ด้วยบทบาท และขัดเกลาความคิดนั้น ให้เห็นถูกเห็นควร ให้รู้บาปบุญคุณโทษ ถ้าความคิด
ดังกล่าวนี้เอง ครูจึงได้รับการยกย่องให้เป็น “ผู้ให้แสงสว่างแห่งปัญญา” แก่ศิษย์ และส�านึกของศิษย์ดี พฤติกรรมที่แสดงออกมาก็ย่อมงดงามตามมา ดังข้อความ
ดวงอาทิตย์ยังโลกให้เจิดจ้าด้วยแสงฉันใด ครูก็ยังศิษย์ให้กระจ่างด้วย ส่วนหนึ่งในบทนมัสการอาจาริยคุณ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
ปัญญาฉันนั้น บทบาทของครูที่มีต่อศิษย์ นอกจากการถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการ กล่าวถึงบทบาทของครูว่า “ขจัดเขลาบรรเทาโม- หะจิตมืดที่งุนงม กังขา
ที่จะเป็นประโยชน์ในการด�ารงชีวิตหรือใช้ประกอบสัมมาชีพภายหน้าแล้ว ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ” สะท้อนให้เห็นว่าครูคือผู้ที่ช่วยก�าจัดความเขลา
ครูยังต้องรู้อบรมกริยามารยาทศิษย์ให้สอดคล้องตามครรลองประเพณีและ ความลุ่มหลง และความไม่รู้ ท�าให้เกิดแสงสว่างปัญญา
วัฒนธรรมที่ดีงาม รวมทั้งขัดเกลาความคิดให้รู้ผิดรู้ชอบ ทั้งนี้การที่ครูจะ หากจะเปรียบปัญญาคือแสงสว่าง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า
ท�าให้ศิษย์เกิดปัญญาได้นั้น ไม่ใช่เพียงแค่บอกกล่าวให้เขาต้องท�าเช่นนี้หรือ ก็คงเทียบได้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทั่วสว่างน�าทางทุกสรรพสัตว์
เป็นเช่นนั้น แต่ครูต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่ศิษย์ด้วยการเป็นแบบอย่าง ส่วนปัญญาธิคุณของครูแม้ไม่อาจเปรียบได้กับพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า
แห่งปัญญาก่อน แล้วแสงสว่างแห่งปัญญานั้นเองที่จะฉายน�าทางศิษย์ให้ แต่ครูก็เป็นแสงเทียนอันวิเศษ เป็นเทียนเล่มแล้วเล่มเล่าที่ร่วมผลัดกัน
ด�าเนินไปตามครรลองที่ควร เหมือนกับที่ดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง ส่องน�าทางสานุศิษย์ เผื่อแผ่แสงสว่างแห่งปัญญาของตนยังศิษย์ให้เกิดปัญญาตาม
แล้วเปล่งแสงส่องดับมืดมนให้กับสรรพสัตว์ เกิดความรอบรู้วิชาการ ทั้งแนะน�าครรลองให้ศิษย์ครองตนเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม
ครูผู้ให้แสงสว่างแห่งปัญญา “วิชาการ” รวมทั้งยังช่วยขัดเกลาความคิดให้งดงาม พุทธศาสนสุภาษิตที่ยกมาข้างต้นว่า
“ปัญญา โลกัสมิ ปัชโชโต” ปัญญาเป็นแสงสว่างแห่งโลกนั้น นับแต่บรรพกาล
ครูคือผู้ทรงความรู้ในวิชาการสาขาใดสาขาหนึ่งซึ่งวิชาเหล่านี้ล้วน จวบจนปัจจุบันพระคุณของครูกระจ่างชัดตลอดมาว่า “ครูได้ส่องสว่างแล้ว
สัมพันธ์กับหลักสูตรต่างๆ ตามแต่สถาบันและระดับการศึกษา เช่น ความรู้ ซึ่งปัญญาแก่ศิษย์” เทียนเล่มแล้วเล่มเล่าที่ผลัดเปลี่ยนละลายแท่งให้แสงแล้วมอดดับ
เรื่องการบวกลบคูณหารเลขของนักเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษา อย่าให้เทียนเหล่านั้นลับไปโดยเปล่าประโยชน์ ขอให้ทุกคนร่วมใจกันส่องแสง
ความรู้เรื่องเซลล์พืชและสัตว์ในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับ เพื่อธ�ารงสังคมให้อุดมด้วยปัญญา